หน้าแรก
สารประกอบเคมีพื้นฐานที่สำคัญของชีวิต
น้ำ
โมเลกุลน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตมาก น้ำเป็นส่วนประกอบภายในเซลล์ 95% สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกต้องอาศัยอยู่ในน้ำและต่อมามีวิวัฒนาการอยู่บนบกแต่ทุกเซลล์ยังคงถูกห้อมล้อมด้วยน้ำหรือของเหลวที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก สิ่งแวดล้อมภายในโลกมีน้ำอยู่ทุกหนทุกแห่งซึ่งมีสถานะต่างๆรวม 3 สถานะต่างๆรวม 3 สถานะ ได้แก่ น้ำที่มีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลวและก๊าซหรือไอน้ำเนื่องมาจากโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของน้ำด้วยพันธะไฮโดรเจนจึงทำให้น้ำมีสมบัติพิเศษดังนี้
ที่มา : https://sites.google.com/site/chukachi26/hnwy-thi2/2-3 |
1.น้ำมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิปกติเพราะโมเลกุลของน้ำที่กระจายอยู่ใกล้กันมีแรงยึดเหนี่ยวทำให้โมเลกุลของน้ำเข้ามาใกล้กันเนื่องจากอะตอมของออกซิเจนมีประจุค่อนไปทางลบ ส่วนอะตอมของไฮโดรเจนมีประจุค่อนไปทางบวก ดังนั้นจึงเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลของน้ำ 1 โมเลกุลกับน้ำอีก 4 โมเลกุลที่อยู่รอบข้าง ทำให้อยู่ในสภาพที่เป็นของเหลว ซึ่งแรงยึดเหนี่ยวทำให้เกิดแรงดึงระหว่างโมเลกุลอย่างต่อเนื่องมีผลให้น้ำถูกลำเลียงได้อย่างต่อเนื่องภายในท่อขนาดเล็ก
ที่มา : https://sites.google.com/site/chukachi26/hnwy-thi2/2-3 |
2.น้ำเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง มีความหนาแน่นลดลง เมื่อมีอุณหภูมิลดลงจนถึง 0 องศาเซลเซียส และมีความหนาแน่นมากที่สุดที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสเนื่องจากการที่อุณหภูมิของน้ำลดต่ำลงจนถึง 0 องศาเซลเซียส มีผลให้โมเลกุลน้ำเริ่มหลุดแยกออกจากกันและกระจายตัวอยู่ห่างกัน มีผลทำให้เกิดการขยายตัวและมีความหนาแน่นลดลงมีสภาพเป็นก้อนน้ำแข็งที่เบาและลอยอยู่ในน้ำที่เป็นของเหลวได้
ในสภาพธรรมชาติของบริเวณที่มีอากาศหนาวจัดน้ำที่ผิวบนเปลี่ยนสถานะเป็นก้อนน้ำแข็งแต่น้ำส่วนล่างมีอุณหภูมิสูงกว่า 0 องศาเวลเซียสจึงยังคงมีสภาพเป็นของเหลวมีความหนาแน่นกว่าทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำยังคงอาศัยอยู่ได้
ที่มา : https://sites.google.com/site/chukachi26/hnwy-thi2/2-3 |
3.น้ำเป็นตัวทำละลายที่ดี เนื่องจากโมเลกุลของน้ำเป็น polar molecule มีขั้วประจุบวกและประจุลบ จึงทำให้สารประกอบที่แตกตัวเป็นอิออนมีขั้วต่างชนิดกันเข้ามารวมตัวกับโมเลกุลของน้ำ นั่นคือน้ำละลายสารประกอบที่เป็น polar compound เช่น โมเลกุลของเกลือและน้ำตาลแต่ละโมเลกุลถูกน้ำล้อมรอบให้แยกตัวออกจากกัน นอกจากนี้โมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น โปรตีนที่มีขั้วและมีประจุไฟฟ้าที่บนผิวก็สามารถจับตัวกับโมเลกุลของน้ำที่แทรกอยู่ทำให้ละลายน้ำได้ดี จะเห็นว่าน้ำเลือด น้ำภายในเซลล์ ของเหลวของพืช มี polar compound หลายๆชนิดละลายอยู่ด้วย
สารชีวโมเลกุล(Biomolecules)
สารชีวโมเลกุลเป็นสารที่ สิ่งมีชีวิตใช้ในการดํารงชีวิต ซึ่งจําแนกได้เป็น 4 ประเภทได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ลิปิด และกรดนิวคลีอิก ซึ่งทั้งสี่ประเภทเกี่ยวข้องกับการดํารงชีวิตคือช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ให้พลังงานในการทํากิจกรรมต่างๆ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอาหารที่รับประทานเข้าไปมีสารอาหาร 6 ประเภทคือ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แร่ธาตุ วิตามิน และน้ำไม่ใช่สารชีวโมเลกุลเนื่องจากเป็นสาร อนินทรีย์ สารชีวโมเลกุลที กล่าวไปทั้ง 4 ประเภทที กล่าวไปนี้มีโครงสร้าง สมบัติ การเกิดปฏิกิริยาอย่างไร จะได้ศึกษาต่อไป
1.โปรตีน
เป็นสารที่พบมากที่สุดในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปในเซลล์ของพืชและสัตว์มีโปรตีนอยู่มากกว่าร้อยละ 50 ของน้ำหนักแห้ง โปรตีนเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และมีโครงสร้างที่ซับซ้อน ประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ คือ ธาตุคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน
(H) ไนโตรเจน (N) และในบางชนิดอาจมีกำมะถัน (S) และฟอสฟอรัส
(P) เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย
เจริญเติบโต เป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ
ยังช่วยในการเจริญเติบโต เป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ
และช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์และฮอร์โมนต่าง
ๆ ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระบบต่างๆ
ในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ที่มา : https://men.kapook.com |
โปรตีนเป็นสารอาหารที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งที่เป็นพืชและสัตว์
โดยจะพบมากในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อปลา
เนื้อหมู ไข่ นม เนยจากสัตว์ เป็นต้น
ส่วนในพืชจะพบมากในเมล็ดพืชตระกูลถั่วเช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง เป็นต้น
องค์ประกอบและโครงสร้างของโปรตีน
2.คาร์โบไฮเดรต
-มอนอแซ็กคาไรด์ (Monosaccharide)
โปรตีนเป็นสารประกอบที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เกิดจากโมเลกุลของกรดอะมิโน (amino acid) จำนวนมากมาสร้างพันธะเชื่อมต่อกันจนเกิดเป็นสายยาว
โดยกรดอะมิโนมีลักษณะเป็นสารชีวโมเลกุลซึ่งประกอบด้วยหมู่ฟังก์ชันทั้งที่เป็นหมู่อะมิโน
(-NH2) มีสมบัติเป็นเบส
และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ซึ่งมีสมบัติเป็นกรด
กรดอะมิโนต่าง
ๆ จะมีการสร้างพันธะเชื่อมต่อกันเป็นสายยาวจนเกิดเป็นโมเลกุลของกรดอะมิโนต่าง ๆ
ว่า พันธะเพปไทด์ (peptide
bond) ซึ่งเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างหมู่คาร์บอกซิลและหมู่อะมิโนของกรดอะมิโนแต่ละโมเลกุล
เนื่องจากโปรตีนเกิดจากกรดอะมิโนจำนวนมากมาเชื่อมต่อกัน
ดังนั้นสมบัติของโปรตีนจึงมีความสัมพันธ์กับชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบ สัดส่วนของกรดอะมิโนแต่ละชนิด และลำดับการเรียงตัวของกรด ซึ่งโปรตีนในธรรมชาติมีกรดอะมิโนอยู่ 20 ชนิด
ดังนั้นจึงสามารถเกิดเป็นโปรตีนชนิดต่าง ๆ มากมาย
โดยโปรตีนที่แตกต่างกันก็จะมีคุณสมบัติและบทบาทต่อร่างกายที่แตกต่างกันด้วยที่มา : https://men.kapook.com |
https://men.kapook.com |
สมบัติของโปรตีน
สารชีวโมเลกุลประเภทโปรตีนมีสมบัติและความสามารถในการเกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง
ๆ ดังนี้
1) โปรตีนไม่ละลายน้ำ
แต่อาจมีบางชนิดที่สามารถละลายน้ำได้บ้างเล็กน้อย
2) มีสถานะเป็นของแข็ง
3) เมื่อถูกเผาไหม้จะมีกลิ่นเหม็น
4) สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส (Hydrolysis)
โดยมีกรด ความร้อน หรือเอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้เกิดเป็นกรดอะมิโนจำนวนมาก
โปรตีน + น้ำ -----------> กรด +
กรดอะมิโนจำนวนมาก
5) เมื่อโปรตีนได้รับความร้อน หรือเมื่อสัมผัสกับสารละลายกรด หรือสารละลายเบส จะทำให้โครงสร้างของโปรตีนเสียไป ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม เรียกกระบวนการนี้ว่า การแปลงสภาพโปรตีน (denaturation of protein)
6) โปรตีนสามารถเกิดปฏิกิริยากับคอปเปอร์
(II) -ซัลเฟต (CuSO4)
ในสภาพที่เป็นเบส เกิดเป็นตะกอนสีม่วง สีม่วงอมชมพู หรือสีน้ำเงิน
ซึ่งปฏิกิริยานี้สามารถใช้ในการทดสอบโปรตีนได้
โปรตีนจากอาหาร
จะเห็นได้ว่าโปรตีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดำรงชีวิต และการเจริญเติบโตของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญในการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนอยู่เสมอ โดยอาหารที่มีโปรตีนพบได้ทั้งอาหารที่มาจากสัตว์และจากพืช ซึ่งโปรตีนทั้งสองแหล่งมีความแตกต่างกันดังนี้
1) โปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นอยู่อย่างครบถ้วน ขณะที่โปรตีนจากพืชเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบ 8 ชนิด เช่น ข้าวเจ้าขาดไลซีน ถั่วเหลืองขาดไทโอนีนและทริปโตเฟน เป็นต้น
2) โปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่ย่อยสลายได้ง่าย ขณะที่โปรตีนจากพืชจะย่อยสลายได้ยากกว่าอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นอยู่อย่างครบถ้วน ได้แก่ ไข่ และน้ำนม ซึ่งนอกจากจะอุดมไปด้วยโปรตีนแล้ว ยังประกอบด้วยไขมัน ธาตุแคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินเออีกด้วย จึงถือได้ว่าอาหารประเภทนี้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ในแต่ละวันเราควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีนอย่างน้อยวันละประมาณ 1 กรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม แต่ปริมาณที่แต่ละบุคคลต้องการอาจแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับอายุ เพศ น้ำหนัก และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตรหรือผู้ป่วยจะต้องการโปรตีนมากกว่าปกติ ส่วนในวัยทารกและวัยเด็กจะมีความต้องการโปรตีนในปริมาณที่มากกว่าวัยอื่น ๆ ถ้าหากได้รับโปรตีนในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจจะก่อให้เกิดภาวะขาดโปรตีนหรือเป็นโรคตานขโมยได้ ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญต่อการบริโภคอาหารของเรา โดยการเลือกรับประทานอาหารให้ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม
1) โปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นอยู่อย่างครบถ้วน ขณะที่โปรตีนจากพืชเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบ 8 ชนิด เช่น ข้าวเจ้าขาดไลซีน ถั่วเหลืองขาดไทโอนีนและทริปโตเฟน เป็นต้น
2) โปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่ย่อยสลายได้ง่าย ขณะที่โปรตีนจากพืชจะย่อยสลายได้ยากกว่าอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นอยู่อย่างครบถ้วน ได้แก่ ไข่ และน้ำนม ซึ่งนอกจากจะอุดมไปด้วยโปรตีนแล้ว ยังประกอบด้วยไขมัน ธาตุแคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินเออีกด้วย จึงถือได้ว่าอาหารประเภทนี้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ในแต่ละวันเราควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีนอย่างน้อยวันละประมาณ 1 กรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม แต่ปริมาณที่แต่ละบุคคลต้องการอาจแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับอายุ เพศ น้ำหนัก และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตรหรือผู้ป่วยจะต้องการโปรตีนมากกว่าปกติ ส่วนในวัยทารกและวัยเด็กจะมีความต้องการโปรตีนในปริมาณที่มากกว่าวัยอื่น ๆ ถ้าหากได้รับโปรตีนในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจจะก่อให้เกิดภาวะขาดโปรตีนหรือเป็นโรคตานขโมยได้ ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญต่อการบริโภคอาหารของเรา โดยการเลือกรับประทานอาหารให้ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม
ประโยชน์ของโปรตีน
1.สร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้แก่ร่างกาย
1.สร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้แก่ร่างกาย
2.ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในกรณีที่ร่างกายขาดพลังงาน
จากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน โดยโปรตีน 1 กรัม
จะให้พลังงานประมาณ 4 แคลอรี่
3.สร้างน้ำย่อย ฮอร์โมน น้ำนม และสารภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย
4.ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือด เนื้อเยื่อ และเซลล์ ถ้าร่างกายขาดโปรตีนนานๆ จะทำให้เลือดใสจาง น้ำจากเลือดจะถูกดูดซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการบวม คนขาดโปรตีนจึงมีอาการบวมตามตัว
5.ช่วยรักษาความสมดุลของกรดและด่างของร่างกาย
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา(สัตววิทยา1)
4.ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือด เนื้อเยื่อ และเซลล์ ถ้าร่างกายขาดโปรตีนนานๆ จะทำให้เลือดใสจาง น้ำจากเลือดจะถูกดูดซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการบวม คนขาดโปรตีนจึงมีอาการบวมตามตัว
5.ช่วยรักษาความสมดุลของกรดและด่างของร่างกาย
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา(สัตววิทยา1)
2.คาร์โบไฮเดรต
เป็นสารชีวโมเลกุลที่ทำหน้าที่สะสมพลังงาน
ที่พบในชีวิตประจำวันทั่วไปได้แก่ น้ำตาล แป้ง เซลลูโลส และไกลโคเจน โดยที่ส่วนใหญ่พบแป้งและเซลลูโลสในพืช
ส่วนไกลโคเจนพบในเซลล์เนื้อเยื่อ น้ำไขข้อและผนังเซลล์ของสัตว์
ที่มา : www.student.chula.ac.th |
สารชีวโมเลกุลในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะมีลักษณะเป็นสารประกอบอินทรีย์(Organic compound)ซึ่งมีธาตุหลัก ๆ อยู่ 3ชนิด คือธาตุคาร์บอน(C) ไฮโดรเจน(H) และออกซิเจน(O) ในธรรมชาติเราสามารถพบสารจำพวกคาร์โบไฮเดรตได้หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีจำนวนธาตุที่เป็นองค์ประกอบแตกต่างกัน คาร์โบไฮเดรตสามารถพบได้ทั่วไปตามส่วนต่าง
ๆ ของพืช หรือผลิตภัณฑ์จากพืชซึ่งประกอบด้วยแป้งและน้ำตาล เช่น หัวเผือก หัวมัน น้ำตาลทราบ น้ำตาลปี๊บ น้ำผึ้ง ผัก ผลไม้ที่มีรสหวาน และข้าว เป็นต้น
ชนิดและโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต
ชนิดและโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต
โดยคาร์โบไฮเดรตสามารถจำแนกตามจำนวนโมเลกุลของน้ำตาลที่เชื่อมโยงกันได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
มอนอแซ็กคาไรด์หรือน้ำตาลโมเลกุลเดียว น้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นหน่วยน้ำตาลที่
เล็กที่สุดประกอบด้วยคาร์บอน 3 ถึง 8 อะตอม จึงสามารถจําแนกน้ำตาลประเภทโมเลกุลเดียวตามจํานวนคาร์บอนที
เป็นองค์ประกอบคือ
มอนอแซ็กคาไรด์ที
พบมากในธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นเพนโทสและเฮกโซส เพนโทสที พบมากได้แก่ ไรโบสและไรบูโรส และ เฮกโซสที มากได้แก่ กลูโคส
ฟรักโทส และกาแลกโทสซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
ที่มา http://www.scimath.org/images/uploads/1feb23.gif |
- โอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharide)
โอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharide) น้ำตาลจําพวกโอลิโกแซ็กคาไรด์ประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวประมาณ 2-15 หน่วยสร้างพันธะด้วยพันธะไกลโคซิดิก ที่พบมากที่สุดของน้ำตาลชนิดนี้คือน้ำตาลไดแซ็กคาไรด์ ซึ่งเกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวรวมตัวกัน
2
หน่วยต่อกัน ได้แก่ ซูโครส เป็นน้ำตาลที่ได้จากต้นอ้อย แล็กโตส น้ำตาลในน้ำนม เป็นต้น
ที่มา http://www.scimath.org/images/uploads/1feb23.gif |
- พอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide)
พอลิแซ็กคาไรด์
(polysaccharide)
เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่ประกอบด้วย มอนอแซ็กคาไรด์หลายๆ
โมเลกุลเชื่อมต่อกันพอลิแซ็กคาไรด์ที่สําคัญต่อสิ่งมีชีวิต ได้แก่ แป้ง เซลลูโลส
และไกลโคเจน ถ้าเราแบ่งพอลิแซ็กคาไรด์ตามหน้าที่ สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ
พอลิแซ็กคาไรด์สะสมและพอลิแซ็กคาไรด์โครงสร้าง
สมบัติและปฏิกิริยาของคาร์โบไฮเดรต
ที่มา http://www.scimath.org/images/uploads/1feb23.gif |
กลูโคส ซูโครสหรือน้ำตาลทราย แป้ง
และเซลลูโลสล้วนเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรต แต่จะแตกต่างกันที่ขนาดโมเลกุลและมวลโมเลกุล
เมื่อน้ำตาลทราย แป้งและเซลลูโลสไปต้มกับกรดซัลฟิวริกจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
เกิดผลิตภัณฑ์เป็นมอนอแซ็กคาไรด์สามารถทําปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกส์ได้ตะกอนสีแดงอิฐ
ถ้าพิจาณาการละลายน้ำ พวกโมเลกุลขนาดใหญ่จะละลายน้ำได้น้อยแต่ถ้าเป็นพวกมอนอแซ็กคาไรด์
และ ไดแซ็กคาไรด์ซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดเล็กจะละลายน้ำได้ดี
ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรด
1.
พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ทำให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวเพื่อทำงานหรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้ (คาร์โบไฮเดรต
1
กรัม จะให้พลังงาน 4 แคลอรี่)
2.
คาร์โบไฮเดรตจัดเป็นส่วนประกอบของสารที่ทำหน้าที่สำคัญในร่างกายหลายชนิด
เช่น สารจำพวกไกลโคโปตีน (glycoprotein),
ไกลโคไลปิด (glycolipid), กรดนิวคลิอิค (nucleic
acid) เป็นต้น
3.
คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งงานที่เรียกว่าโพลีแซ็กคาไรด์สะสม
(Storage
polysaccharide) เช่น ไกลโคเจนและแป้ง
ซึ่งเป็นเสมือนแหล่งเสบียงที่เก็บตุนพลังงานไว้
เมื่อร่างกายต้องการใช้พลังงานก็จะถูกย่อยให้เป็นกลูโคสเพื่อใช้เผาผลาญให้ได้พลังงานต่อไป
4.
คาร์โบไฮเดรตมีความจำเป็นต่อการช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
หากร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอร่างกายจะเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานมากขึ้น
ทำให้เกิดสารประเภทคีโทนมาคั่ง (ketone bodies) ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
5.
คาร์โบไฮเดรตจะช่วยสงวนคุณค่าของโปรตีนไว้ไม่ให้เผาผลาญเป็นพลังงาน
หากได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเพียงพอ
6.
คาร์โบไฮเดรตที่เหลือใช้จากการเปลี่ยนไปเป็นพลังงานและสร้างไกลโคเจน
ร่างกายจะนำไปใช้ในการสังเคราะห์ไขมันและกรดอะมิโน
7.
การทำงานของสมองจะต้องพึ่งกลูโคส (glucose) ซึ่งเป็นตัวให้พลังงานที่สำคัญ
8.
กรดกลูคูโรนิก (glucuronic
acid) (อนุพันธ์ของกลูโคส)
มีหน้าที่เปลี่ยนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายเมื่อผ่านไปที่ตับ
ทำให้มีพิษลดลงและอยู่ในสภาพที่ร่างกายจะสามารถขับถ่ายออกมาได้
9.
ช่วยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของผนังเซลล์ในแบคทีเรีย
เซลล์พืชและสัตว์ เช่น ไคตินในกระดองปู วุ้นในสาหร่ายทะเล
และยังทำหน้าที่ทางชีวภาพอื่น ๆ เช่น เฮปาริน จะช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด
เป็นต้น
10.
อาหารจำพวกธัญพืชนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรตแล้ว
ยังเป็นแหล่งที่ให้โปรตีน เกลือแร่ และวิตามินอีกด้วย
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา (สัตววิทยา 1)
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา (สัตววิทยา 1)
3.ไขมันและน้ำมัน (Fat and Oil)
ไขมันและน้ำมันเป็นสารกลุ่มเดียวกันที่เรียกว่าลิพิด
(Lipid) โดยทั้งไขมันและน้ำมันเป็นสารที่มีสมบัติใกล้เคียงกัน คือ เป็นสารที่มีองค์ประกอบหลักเป็นธาตุคาร์บอน
ไฮโดรเจน และออกซิเจน ไม่ละลายน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำจะแยกออกจากน้ำเป็นชั้น แต่สามารถละลายได้ดีในสารที่เป็นน้ำมัน หรือในตัวทำละลายอินทรีย์บางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ เป็นต้น
ที่มา : www.foodnetworksolution.com |
ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างไขมันและน้ำมัน คือ ไขมันจะมีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ส่วนน้ำมันจะมีสถานะเป็นของเหลว โดยทั้งไขมันและน้ำมันเป็นสารที่มีบทบาทต่อชีวิตของเราเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสารที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร ทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
ไขมันและน้ำมันสามารถพบได้ทั้งในพืชและสัตว์ โดยในพืชมักจะพบในส่วนของเมล็ด เช่น มะพร้าว มะกอก ปาล์ม ถั่วเหลือง งา เมล็ดฝ้าย เป็นต้น ส่วนในสัตว์จะมีการสะสมไขมันไว้ตามเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณช่องท้องและส่วนอื่น
ๆ เช่น ไขมันโค ไขมันหมู ไข่แดง เป็นต้น
องค์ประกอบและโครงสร้างของไขมัน
ไขมันและน้ำมันมีลักษณะเป็นสารประกอบที่เรียกว่า
ไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides) เกิดจากกลีเซอรอล
(glycerol) 1 โมเลกุล เข้าทำปฏิกิริยากับกรดไขมัน(fatty acids) 3 โมเลกุลโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาและความร้อนร่วมด้วย โดยกลีเซอรอลและกรดไขมันซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตไขมันและน้ำมันเป็นสารที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. กลีเซอรอล เป็นสารจำพวกแอลกอฮอล์ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และมีรสหวาน มีสูตรโมเลกุลเป็น C3H8O3
2. กรดไขมัน เป็นกรดอินทรีย์ประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นโมเลกุลที่เกิดจากอะตอมของธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนมาเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ยาว มีปลายข้างหนึ่งเป็นหมู่ -COOH (หมู่คาร์บอกซิล) ส่วนที่เป็นหมู่ไฮโดรคาร์บอนนี้เป็นส่วนที่มีผลทำให้เกิดเป็นกรดไขมันที่มีสมบัติแตกต่างกัน โดยกรดไขมันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ กรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ดังนี้
2. กรดไขมัน เป็นกรดอินทรีย์ประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นโมเลกุลที่เกิดจากอะตอมของธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนมาเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ยาว มีปลายข้างหนึ่งเป็นหมู่ -COOH (หมู่คาร์บอกซิล) ส่วนที่เป็นหมู่ไฮโดรคาร์บอนนี้เป็นส่วนที่มีผลทำให้เกิดเป็นกรดไขมันที่มีสมบัติแตกต่างกัน โดยกรดไขมันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ กรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ดังนี้
-
กรดไขมันอิ่มตัว(Saturated fatty acids) เป็นกรดไขมันที่ในหมู่ไฮโดรคาร์บอนมีพันธะระหว่างอะตอมคาร์บอนทั้งหมดเป็นพันธะเดี่ยว โมเลกุลจึงไม่สามารถรับไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก กรดไขมันชนิดนี้มีอะตอมคาร์บอนตั้งแต่ 4-24 อะตอม พบได้มากในไขมันสัตว์และน้ำมันมะพร้าว กรดไขมันอิ่มตัวเหล่านี้ ได้แก่ กรดสเตียริก กรดปาล์มมิติก
กรดคลอริก เป็นต้น กรดไขมันอิ่มตัวมีสมบัติแข็งตัวง่าย มีจุดหลอมเหลวสูง ไม่เหม็นหืน เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศ แต่มีผลเสียคือหากรับประทานเข้าไปมากอาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้
ที่มา :www.foodnetworksolution.com |
- กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsturated fatty
acids) คือ กรดไขมันที่ในหมู่ไฮโดรคาร์บอนมีพันธะระหว่างอะตอมคาร์บอนบางพันธะเป็นพันธะคู่ ซึ่งอาจมีพันธะคู่เพียงแห่งเดียวหรือหลายแห่งก็ได้ และผลจากการที่มีพันธะคู่ ทำให้โมเลกุลของกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีจำนวนอะตอมไฮโดรเจนน้อยกว่ากรดไขมันอิ่มตัว
ตัวอย่างของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ กรดไลโนเลอิก กรดโอเลอิก เป็นต้น กรดไขมันอิ่มตัวมีสมบัติแข็งตัวยากมีจุดหลอมเหลวต่ำ
เมื่อตั้งทิ้งไว้ให้สัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานจะเกิดกลิ่นเหม็นหืนได้
สมบัติของไขมันและน้ำมัน
1.
การนำไฟฟ้า ไม่นำไฟฟ้า
2.
ความหนาแน่น มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
3.
สี กลิ่น และรส ไขมันและน้ำมันบริสุทธิ์ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส
ประโยชน์ของไขมันและน้ำมัน
ไขมันและน้ำมันนอกจากจะเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตแล้ว มนุษย์ยังมีการนำไขมันและน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย เช่น การปรับปรุงอาหารและการสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ในระดับอุตสาหกรรม ดังนี้
1.ประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต เมื่อร่างกายได้รับไขมันหรือน้ำมันแล้ว ร่างกายจะมีการย่อยสลายให้กลายเป็นกรดไขมันเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้
1.1 ให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 9 กิโลแคลอรี
1.2 สะสมไว้ใต้ผิวหนัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในร่างกาย
1.3 เป็นพลังงานสำรองของร่างกาย เมื่อร่างกายขาดพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
1.4 เป็นส่วนประกอบของอวัยวะบางอย่าง เช่น เนื้องอก เส้นประสาท เป็นต้น
1.5 เป็นตัวทำลายวิตามินเอ, ดี, อีก และเค ร่างกายจึงสามารถดูดซึมวิตามินเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้
1.6 กรดไขมันบางชนิดเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ และป้องกันอาการผิวหนังอักเสบบางชนิด
2.ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ไขมันและน้ำมันนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตแล้ว มนุษย์เรายังมีการใช้ประโยชน์จากไขมันและน้ำมันในด้านต่างๆ อีกมากมาย ดังเช่น
2.1 ด้านการปรุงอาหาร เนื่องจากน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารเป็นสารที่มีจุดเดือดที่สูงมาก ทำให้น้ำมันสามารถเก็บความร้อนได้สูง จึงสามารถใช้ในการปรุงอาหารทำให้อาหารสุกเร็ว
2.2 ด้านอุตสาหกรรมการผลิตสบู่ เนื่องจากไขมันหรือน้ำมันจะสามารถทำปฏิกิริยากับสารละลายเบสได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นไข เมื่อละลายน้ำแล้วจะลื่น มีฟอง และผลิตภัณฑ์อีกชนิด คือ กลีเซอรอล
2.3 ด้านอุตสาหกรรมการผลิตเนยเทียม ซึ่งผลิตขึ้นโดยการใช้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมาทำปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ที่ความดันสูง และมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม ทำให้พันธะคู่ของกรดไขไมันไม่อิ่มตัวถูกเติมไฮโดรเจนกลายเป็นพันธะเดี่ยว ดังนั้นกรดไขมันไม่อิ่มตัวจึงมีความอิ่มตัวมากขึ้น และมีจุดหลอมเหลวสูงขึ้น จนมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง
1.2 สะสมไว้ใต้ผิวหนัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในร่างกาย
1.3 เป็นพลังงานสำรองของร่างกาย เมื่อร่างกายขาดพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
1.4 เป็นส่วนประกอบของอวัยวะบางอย่าง เช่น เนื้องอก เส้นประสาท เป็นต้น
1.5 เป็นตัวทำลายวิตามินเอ, ดี, อีก และเค ร่างกายจึงสามารถดูดซึมวิตามินเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้
1.6 กรดไขมันบางชนิดเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ และป้องกันอาการผิวหนังอักเสบบางชนิด
2.ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ไขมันและน้ำมันนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตแล้ว มนุษย์เรายังมีการใช้ประโยชน์จากไขมันและน้ำมันในด้านต่างๆ อีกมากมาย ดังเช่น
2.1 ด้านการปรุงอาหาร เนื่องจากน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารเป็นสารที่มีจุดเดือดที่สูงมาก ทำให้น้ำมันสามารถเก็บความร้อนได้สูง จึงสามารถใช้ในการปรุงอาหารทำให้อาหารสุกเร็ว
2.2 ด้านอุตสาหกรรมการผลิตสบู่ เนื่องจากไขมันหรือน้ำมันจะสามารถทำปฏิกิริยากับสารละลายเบสได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นไข เมื่อละลายน้ำแล้วจะลื่น มีฟอง และผลิตภัณฑ์อีกชนิด คือ กลีเซอรอล
2.3 ด้านอุตสาหกรรมการผลิตเนยเทียม ซึ่งผลิตขึ้นโดยการใช้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมาทำปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ที่ความดันสูง และมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม ทำให้พันธะคู่ของกรดไขไมันไม่อิ่มตัวถูกเติมไฮโดรเจนกลายเป็นพันธะเดี่ยว ดังนั้นกรดไขมันไม่อิ่มตัวจึงมีความอิ่มตัวมากขึ้น และมีจุดหลอมเหลวสูงขึ้น จนมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง
ไขมันและคอเลสเตอรอล
คอเรสเตอรอล (Cholesterol) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย
เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายใช้เป็นสารเริ่มต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ น้ำดี
สร้างวิตามินดี และการลำเลียงกรดไขมันในกระแสเลือด
ในร่างกายมนุษย์จะสามารถสังเคราะห์คอเลสเตอรอลขึ้นเองได้
แต่ปริมาณที่สังเคราะห์ได้ไม่มากพอ จึงต้องได้รับเพิ่มจากอาหารต่าง ๆ เช่น
อาหารทะเล ไข่แดง เป็นต้น
ที่มา : www.aquaupa.com |
การับประทานอาหารซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันชนิดอิ่มตัวในปริมาณที่มากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย
จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
เนื่องจากเมื่อร่างกายมีกรดไขมันอิ่มตัวปริมาณมากกรดไขมันอิ่มตัวบางส่วนจะรวมตัวกับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดแล้วตกตะกอนเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด
เมื่อสะสมมาก ๆ ก็จะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
โรคหัวใจ และอาการอัมพาตได้
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา (สัตววิทยา1)
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา (สัตววิทยา1)
เป็นสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่ เป็นสารพอลิเมอร์ธรรมชาติที่ประกอบด้วยหน่วยซ้ำ
ๆ กันของนิวคลีโอไทด์(nucleotide) ดังนั้นจึงถือว่ากรดนิวคลีอิกเป็นพอลินิวคลีโอไทด์ (polynucleotide)จำนวนหน่วยของนิวคลีโอไทด์แตกต่างกันออกไปตามชนิดของกรดนิวคลีอิก
ซึ่งมีขนาด<100 ไปจนถึงหลายล้านหน่วย
กรดนิวคลีอิกแบ่งเป็น
2
กลุ่ม ดังนี้
1)
กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (Deoxyribonucleic acid
; DNA) ซึ่งสามารถพบได้ในบริเวณนิวเคลียสของเซลล์ มีหน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต และถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูก
2)
กรดไรโบนิวคลีอิก (Ribonucleic acid
; RNA) ซึ่งพบได้ในนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมของเซลล์ มีหน้าที่ในการสังเคราะห์โปรตีนต่าง ๆ
ดังนั้นกรดนิวคลีอิกจึงเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการกำหนดลักษณะต่าง
ๆ ของสิ่งมีชีวิต
ที่มา :www.student.chula.ac.th |
องค์ประกอบและโครงสร้างของกรดนิวคลีอิก
เมื่อไฮโดรไลซ์กรดนิวคลีอิกด้วยสภาวะที่อ่อนจะให้นิวคลีโอไทด์หลายหน่วยและเมื่อทำการไฮโดรไลซ์ต่อด้วยสภาวะที่แรงขึ้นจะได้เป็นกรดฟอสฟอริกและนิวคลีโอไซด์
แต่ถ้าใช้สภาวะที่แรงขึ้นไปอีกจะมีการไฮโดรไลซ์อย่างสมบูรณ์ โดยนิวคลีโอไซด์จะแตกออกเป็นเบสอินทรีย์และน้ำตาลไรโบสหรือดีออกซีไรโบส
ผลจากการทำไฮโดรลิซิสสรุปได้ว่า
กรดนิวคลีอิกประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เป็นกรดฟอสฟอริก เบสอินทรีย์
และน้ำตาลไรโบสหรือดีออกซีไรโบส
กรดนิวคลีอิกเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยโมเลกุลย่อยๆที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) จำนวนมากมาสร้างพันธะโคเวเลนต์ต่อกันเป็นสายยาว โดยโมเลกุลนิวคลีโอไทด์จะประกอบด้วย 3หน่วยย่อย ดังนี้
1) น้ำตาลเพนโทส
(pentose) เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งประกอบด้วยคาร์บอน 5 อะตอม มี 2 ชนิด คือ น้ำตาลไรโบส (ribose) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของอาร์เอ็นเอและดีออกซีไรโบส (deoxyribose) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของดีเอ็นเอ โดยทั้งสองชนิดจะมีความแตกต่างกันคือ น้ำตาลดีออกซีไรโบสจะมีอะตอมธาตุออกซิเจนน้อยกว่าน้ำตาลไรโบสอยู่ 1 อะตอม
2) ไนโตรเจนเบส (nitrogenous base) มีอยู่ทั้งสิ้น 5ชนิด คือ อะดีนีน (Adenine ; A), กวานีน (Guanine ; G), ไซโทซีน (Cytosine ; C), ยูเรซิล (Uracil ; U) และไทมีน (Thymine ; T) ซึ่งส่วนของไนโตรเจนเบสนี้จะเป็นส่วนที่กำหนดความแตกต่างของโมเลกุลนิวคลีโอไทด์ โดยในดีเอ็นเอจะประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ชนิดที่มีเบสเป็น A, C, G หรือ T ขณะที่ในอาร์เอ็นเอประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ชนิดที่มีเบสเป็น A, C, G หรือ U
3) หมู่ฟอสเฟต เป็นบริเวณที่สามารถสร้างพันธะกับน้ำตาลเพนโทสของนิวคลีโอไทล์อีกโมเลกุล ทำให้โมเลกุลของนิวคลีโอไทด์แต่ละโมเลกุลสามารถเชื่อมต่อกันได้
2) ไนโตรเจนเบส (nitrogenous base) มีอยู่ทั้งสิ้น 5ชนิด คือ อะดีนีน (Adenine ; A), กวานีน (Guanine ; G), ไซโทซีน (Cytosine ; C), ยูเรซิล (Uracil ; U) และไทมีน (Thymine ; T) ซึ่งส่วนของไนโตรเจนเบสนี้จะเป็นส่วนที่กำหนดความแตกต่างของโมเลกุลนิวคลีโอไทด์ โดยในดีเอ็นเอจะประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ชนิดที่มีเบสเป็น A, C, G หรือ T ขณะที่ในอาร์เอ็นเอประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ชนิดที่มีเบสเป็น A, C, G หรือ U
3) หมู่ฟอสเฟต เป็นบริเวณที่สามารถสร้างพันธะกับน้ำตาลเพนโทสของนิวคลีโอไทล์อีกโมเลกุล ทำให้โมเลกุลของนิวคลีโอไทด์แต่ละโมเลกุลสามารถเชื่อมต่อกันได้
เมื่อมีนิวคลีโอไทด์จำนวนแสนจนถึงล้านโมเลกุลขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมี จนเกิดเป็นสายยาวของดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ โดยโครงสร้างของดีเอ็นเอจะมีลักษณะเป็นสายนิวคลีโอไทด์2 สาย
อยู่เป็นคู่กันพันบิดเป็นเกลียวโดยมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันด้วยพันธะไฮโดรเจน ขณะที่อาร์เอ็นเอจะมีลักษณะเป็นสายนิวคลีโอไทด์เพียงสายเดียวที่มีการบิดม้วนเป็นเกลียว
คุณสมบัติของกรดนิวคลีอิก
คุณสมบัติของกรดนิวคลีอิก
(1)
คุณสมบัติเกี่ยวกับกรดและเบส
เนื่องจากหมู่ฟอสเฟตของกรดนิวคลีอิคสามารถแตกตัวให้โปรตอนได้ทำให้กรดนิวคลีอิคมีประจุเป็นลบ
จึงสามารถรวมตัวกับประจุบวกก่อน เช่น Mg2+, Ca2+ฯลฯ
หรือสารอื่นๆที่มีประจุบวก เช่น สเปรอร์มีน( Spermine)และ ฮิสโตน ( Histone
)ได้
(2)
ความหนืด ( Viscosity )
กรดนิวคลีอิกในสภาพที่โมเลกุลเหยียดตัวออก
จนมีลักษณะคล้ายท่อนไม้ตรง เช่น ในสภาวะที่สารละลายมี pH เป็นกลาง จะทำให้สารละลายกรดนิวคลีอิกมีความหนืดสูง
(3)
คุณสมบัติเกี่ยวกับการตกตะกอน ( Sedimentation )
กรดนิวคลีอิกละลายได้ดีในสารละลายบัฟเฟอร์ที่มี
pH
เป็นกลางแต่ในส่วนสารละลายกรดหรือแอลกอฮอล์หรือในสารละลายที่ไม่เป็นโพลาร์ เช่น อะซิโตน คลอโรฟอร์ม กรดนิวคลีอิกจะไม่ละลายและจะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
ตกตะกอนแยกออกจากสารละลาย
(4)
คุณสมบัติเกี่ยวกับการดูดแสง
เบสที่เป็นส่วนประกอบในกรดนิวคลีอิกเป็นสารพวกอะโรมาติก
ที่สามารถดูดแสงอัลตราไวโอเลต
ดังนั้นในสภาพธรรมชาติ DNA
จึงสามารถดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 260 และ 195
nm. แต่การดูดแสงจะน้อยกว่านิวคลีโอไทด์อิสระที่มีปริมาณเท่ากัน
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Hypochromism
และเมื่อDNA
เปลี่ยนสภาพจากเกลียวคู่มาสู่สภาพสายเดี่ยว ( Single
stranded ) จะท าให้การดูดแสงเพิ่มมากขึ้น ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า
Hyperchromism
หรือHyperchromic effect การเปลี่ยนสภาพดังกล่าวอาจทำได้โดยใช้กรด
ด่าง หรือการเพิ่มอุณหภูมิซึ่งจะทำให้DNA เปลี่ยนสภาพกลายเป็น
DNA สายเดี่ยว และเมื่อปล่อยให้อุณหภูมิลดลงอย่างช้าๆDNA
สายเดี่ยว จะค่อยๆจับคู่กันตามกฏการณ์จับคู่เบส กลายเป็น DNAเกลียวคู่อีก การดูดกลืนแสงก็จะลดลงด้วย
การจับคู่กันใหม่ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ดีในสารละลายที่มี DNA ชนิดเดียวกันถ้าเป็น DNA ของสัตว์ต่างชนิดกันการจับคู่กันเป็นเกลียวคู่จะเกิดได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับความคล้ายคลึงกันในการเรียงตัวของเบสใน
DNA การจับคู่ของ DNA ต่างชนิดกันดังกล่าวเรียก
DNA hybridization
ประโยชน์ของกรดนิวคลีอิก
1.
ลอกแบบ (Replication) ตัวเองในขณะที่มีการแบ่งเซลล์
เพื่อสร้าง DNA สำหรับ โครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้น
2.
ควบคุมการสังเคราะห์โปรตีน โดยผ่านกระบวนการถอดแบบ (Transcription)ในการสร้างโปรตีน แต่ยังไม่ทราบหน้าที่ที่แน่นอน
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา (สัตววิทยา1)
ที่มาของเนื้อหา : หนังสือเรียนชีววิทยา (สัตววิทยา1)
กำลังหาข้อมูลด้านนี้พอดี ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ